คุณครูหลายคนมักส่งสไลด์หรือใบงานมาให้ผมดู แล้วถามว่า
“ผมไม่ได้ใส่ข้อความเยอะเลยนะ
แต่ทำไมนักเรียนยังบอกว่าอ่านยากอยู่ดีครับ”
คำตอบคือ ไม่ใช่เพราะเนื้อหาเยอะเลยครับ
แต่อาจเป็นเพราะว่าบรรทัดมันเบียดกันเกินไป ต่างหากครับ
.
วันนี้ผมเลยอยากชวนทุกท่านมารู้จักกับสิ่งเล็ก ๆ
แต่มีผลต่อความเข้าใจของผู้เรียนอย่างมากเลย
นั่นก็คือ “ระยะห่างระหว่างบรรทัด”
หรือที่เรียกว่า Line Spacing นั่นเองครับ
.
ข้อแรกที่ควรทราบครับ คือสมองมนุษย์เรา ชอบ “กลุ่มข้อมูลที่แยกกันอย่างชัดเจน”
ถ้าข้อความในแต่ละบรรทัดอยู่ชิดกันเกินไป
นักเรียนจะอ่านแล้วล้า เพราะแยกไม่ออกว่า
อันไหนคือบรรทัดใหม่ อันไหนคือใจความใหม่
แต่ถ้าเราขยายระยะบรรทัดให้พอดี
สายตาของผู้เรียนจะเคลื่อนไปตามเนื้อหาได้อย่างราบรื่น
และเข้าใจได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเพ่งครับ
ตัวอย่างง่าย ๆ เลย
ข้อความเดิม ขนาดเท่าเดิม ฟอนต์เดียวกัน
แต่แค่เพิ่มระยะห่างระหว่างบรรทัดจาก 1.0 เป็น 1.5
ผลลัพธ์ที่ได้คือดูสะอาด น่าอ่านขึ้นทันทีครับ
.
ข้อถัดไป ระยะห่างที่ดี ช่วยให้นักเรียน “หายใจทัน”
สื่อหลายชิ้นแน่นจนไม่มีพื้นที่ว่าง อ่านไปเครียดไป
เพราะไม่มีที่ให้สมองพักสายตา
ครูอย่างเราจึงควรเผื่อพื้นที่ว่างเล็ก ๆ ระหว่างบรรทัด
เพื่อให้นักเรียน หยุด – คิดตาม – คิดต่อยอด
ไปพร้อม ๆ กับที่เราตั้งใจไว้ครับ
.
ถัดไป เป็นข้อแนะนำจากผมครับ
ถ้าเป็นใบงาน หรือเอกสารที่ต้องอ่านละเอียด
ผมขอแนะนำให้ใช้ระยะห่าง 1.5 ขึ้นไป
ถ้าเป็นสไลด์ที่เนื้อหาน้อย ให้ใช้ 1.2–1.4 เพื่อให้ดูโปร่ง
อย่าชิดเกินไปจนตัวหนังสือ “เกาะติด” กัน
และอย่าห่างเกินไปจนทำให้อ่านกระโดด ข้ามใจความสำคัญครับ
.
ระยะห่างระหว่างบรรทัด คือเครื่องมือที่มองไม่เห็น แต่รู้สึกได้
ถ้าใช้พอดี จะช่วยให้สื่อของเราน่าอ่านขึ้นมาก
และผู้เรียนจะเข้าใจเนื้อหาโดยไม่ต้องพยายามมากเกินไป
บางครั้ง ไม่ต้องเปลี่ยนเนื้อหา ไม่ต้องเพิ่มภาพ
แค่เรา “เว้นระยะ” ระหว่างบรรทัดให้เป็น
ก็ทำให้ประสิทธิภาพสื่อของเราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ